การใช้บริการจากภายนอกองค์กร หรือที่เรียกว่า “เอาท์ซอร์ส” (Outsourcing) เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีวิวัฒนาการยาวนานควบคู่ไปกับการพัฒนาของโลกธุรกิจ มีการเปลี่ยนแปลงและปรับใช้ในรูปแบบต่างๆ ตามบริบททางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีของแต่ละยุคสมัย จากเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนการผลิตในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จนถึงการเข้าถึงบริการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในปัจจุบัน Outsource คือกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ทั้งในแง่การลดต้นทุน เข้าถึงบริการจากผู้เชี่ยวชาญ เพิ่มประสิทธิภาพ นำพาสู่นวัตกรรมใหม่ๆ และความยืดหยุ่นในการปรับตัวให้ทันต่อความท้าทายของโลกธุรกิจยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
แต่ละยุคสมัยการเอาท์ซอร์สจะมีรูปแบบและคุณค่าที่แตกต่างกัน แต่จุดร่วมคือการใช้ประโยชน์จากการมอบหมายงานบางส่วนให้ผู้เชี่ยวชาญภายนอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ผลิตภาพ และความสามารถทางการแข่งขันขององค์กร ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ธุรกิจสำคัญสำหรับการอยู่รอดและเติบโตในทุกยุคสมัย
1.ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrialization) จุดกำเนิดของการเอาท์ซอร์ส (Outsourcing) เพื่อประสิทธิภาพ
(Industrialization, Cost Efficiency)
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ขณะที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการผลิต และความต้องการสินค้าในปริมาณมหาศาล บริษัทต่างๆ จึงเริ่มนำแนวคิดการจ้างแรงงานภายนอกมาใช้อย่างแพร่หลาย ซึ่งถือเป็นรากฐานของการ Outsource ในปัจจุบัน
ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่:
- อุตสาหกรรมสิ่งทอในสหรัฐอเมริกา โรงงานผลิตเสื้อผ้าจำนวนมากได้ย้ายฐานการผลิตจากภาคเหนือลงมายังมลรัฐทางภาคใต้ เช่น นอร์ทคาโรไลนา เพื่อจ้างแรงงานจากครัวเรือนรายย่อยที่มีค่าแรงถูกกว่า ช่วยลดต้นทุนการผลิตและทำให้สินค้ามีราคาแข่งขันได้ในตลาด
- Cadbury ผู้ผลิตช็อกโกแลตชื่อดัง บริษัทได้ให้ครัวเรือนต่างๆ รับงานตัดแต่งหรือห่อหุ้มช็อกโกแลตไปทำที่บ้าน ซึ่งเป็นการจ้างแรงงานภายนอกในลักษณะ Outsource ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก
- Benetton แบรนด์เสื้อผ้าสัญชาติอิตาลี มีการว่าจ้างชาวบ้านและครอบครัวในหมู่บ้านต่างๆ ของอิตาลีเหนือมาทำงานผลิตเสื้อผ้าที่บ้าน เพื่อใช้ประโยชน์จากแรงงานราคาถูก ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมหาศาล
เหตุผลหลักของการใช้แรงงานภายนอกในยุคนั้น คือ การลดต้นทุนการผลิตด้วยการจ้างแรงงานที่มีค่าจ้างต่ำกว่าแรงงานประจำ ทำให้สามารถตั้งราคาสินค้าให้แข่งขันได้ในตลาด อีกทั้งยังเป็นการแบ่งเบาภาระการจ้างงานแรงงานประจำภายในโรงงานด้วย
แนวคิดการนำแรงงานภายนอกเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมนี้เอง จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของแนวคิดการ Outsource ในโลกธุรกิจปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากการแบ่งปันทรัพยากรภายนอกองค์กร
2.ยุคการปฏิวัติ IT (Rise of IT) การเอาท์ซอร์ส ที่พลิกโฉมธุรกิจในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ
(Need for Specialized Skills and Technology)
ในช่วงทศวรรษ 1960 เมื่อคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการธุรกิจ บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องนำระบบคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์มาใช้ในการดำเนินงาน แต่การดูแลรักษาและบริหารจัดการระบบเหล่านี้ต้องอาศัยบุคลากรที่มีความรู้และทักษะเฉพาะทาง ทำให้เกิดความต้องการในการ Outsource งานด้าน IT ขึ้น
ตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่:
- Kodak ในปี 1989 Eastman Kodak บริษัทผลิตอุปกรณ์ถ่ายรูปและฟิล์มชื่อดัง ตกลงทำสัญญาจ้าง IBM ให้ดูแลระบบสารสนเทศและการประมวลผลข้อมูลทั้งหมด มูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นสัญญา Outsource ด้าน IT ที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้น
- Continental Airlines สายการบินยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ ได้จ้าง EDS ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีชั้นนำในขณะนั้น ดูแลทั้งระบบจองตั๋ว การเช็คอิน และงานด้านไอทีต่างๆ เพื่อให้สามารถมุ่งเน้นการบริหารจัดการธุรกิจหลักของตนได้เต็มที่
- Swiss Bank Corporation ธนาคารยักษ์ใหญ่จากสวิตเซอร์แลนด์ได้ Outsource งานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งหมดให้กับ IBM, Merrill Lynch และ Xtra ซึ่งช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมาก
เหตุผลหลักของการใช้บริการคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์จากภายนอกในยุคนั้นคือการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการลดต้นทุน ด้วยการใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจากภายนอก ทำให้บริษัทสามารถมุ่งเน้นไปที่ความสามารถหลักและการขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่
แนวคิดการนำบริการคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์เข้ามาใช้ในกระบวนการดำเนินงานในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศนี้เอง จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของแนวคิดการ Outsource ด้าน IT ในโลกธุรกิจปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญภายนอกองค์กร
3. ยุคโลกไร้พรมแดน (Globalization) การเอาท์ซอร์สที่ขับเคลื่อนธุรกิจในยุคโลกาภิวัฒน์
(Access to Global Shared Services and Global Talents)
ในช่วงทศวรรษ 1990 เมื่อกระแสโลกาภิวัฒน์เริ่มแพร่หลาย ประกอบกับความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสื่อสารและการขนส่ง ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงาน สินค้า และบริการข้ามพรมแดนมากขึ้น องค์กรธุรกิจต่างๆ จึงเริ่มหันมาใช้กลยุทธ์ Outsource งานไปยังประเทศที่มีต้นทุนแรงงานต่ำกว่าอย่างแพร่หลาย
ตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่:
- India’s IT Services : ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ประเทศอินเดียได้กลายเป็นศูนย์กลางการเอาท์ซอร์สด้าน IT ระดับโลก ด้วยการแก้ไขปัญหา Y2K ที่เน้นความสามารถในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของอินเดีย ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ทั่วโลกเลือกเอาท์ซอร์สงานด้าน IT ไปยังอินเดีย ซึ่งมีแรงงานที่มีทักษะสูงและพูดภาษาอังกฤษได้ดี ในราคาที่ต่ำกว่าประเทศตะวันตก การเอาท์ซอร์สไปยังอินเดียช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาซอฟต์แวร์ รวมถึงการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้บริษัทสามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมงเนื่องจากความแตกต่างของเวลา
- Philippines Call Centers : ประเทศฟิลิปปินส์ได้กลายเป็นศูนย์กลางการเอาท์ซอร์สงานบริการลูกค้าและศูนย์ติดต่อสอบถาม ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการบริการลูกค้าและความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษได้ดี บริษัทต่างๆ เช่น Accenture และ Convergys ได้เอาท์ซอร์สงานบริการลูกค้าของตนไปยังฟิลิปปินส์ การเอาท์ซอร์สงานบริการลูกค้าไปยังฟิลิปปินส์ช่วยลดต้นทุนค่าแรงและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้า สามารถปรับขนาดการให้บริการได้ตามปริมาณงานและฤดูกาล และให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- Nike – Outsource การผลิต : Nike ได้เอาท์ซอร์สการผลิตรองเท้าและเครื่องแต่งกายไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชีย เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน เพื่อประโยชน์จากต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า และโครงสร้างพื้นฐานการผลิตที่มีประสิทธิภาพ การเอาท์ซอร์สการผลิตช่วยให้ Nike สามารถลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสินค้าเข้าสู่ตลาด ทำให้บริษัทสามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนานวัตกรรมและการตลาด
เหตุผลหลักของการใช้การเอาท์ซอร์สข้ามพรมแดนในยุคโลกาภิวัฒน์คือการลดต้นทุนการดำเนินงานและการเข้าถึงบุคลากรที่มีทักษะสูงในประเทศที่มีค่าแรงต่ำกว่า นอกจากนี้ยังช่วยให้บริษัทสามารถปรับตัวเข้ากับตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล
การ Outsource ในยุคโลกาภิวัฒน์จึงมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อใช้ประโยชน์จากต้นทุนแรงงานที่ถูกกว่าในประเทศกำลังพัฒนา ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่ออำนวยความสะดวกในการบริหารจัดการงาน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจในตลาดโลก
4.ยุคดิจิทัลทรานสฟอร์เมชัน (Digital Transformation) การเอาท์ซอร์สเพื่อมุ่งเน้นความสามารถหลักขององค์กร
(Efficiency, Specialized Skills, and Focus on Core Competencies)
ในยุคปัจจุบันที่โลกเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) อย่างเต็มรูปแบบ เทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตประจำวัน การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมได้เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานและการจัดการธุรกิจ บริษัทต่างๆ จึงเริ่มนำแนวคิดการเอาท์ซอร์สมาปรับใช้มากขึ้น เพื่อให้สามารถมุ่งเน้นไปที่ความสามารถหลักขององค์กรได้อย่างเต็มที่ การเอาท์ซอร์สในยุคดิจิทัลนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้
บริษัทจำนวนมากเลือกที่จะ Outsource งานด้านไอทีและดิจิทัลให้กับผู้ให้บริการรายใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น Accenture, IBM, Tata Consultancy Services เป็นต้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องลงทุนจ้างบุคลากรและสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้วยตนเอง
ในยุคดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันนี้ มีองค์กรธุรกิจจำนวนมากที่หันมาใช้กลยุทธ์ Outsource ในรูปแบบต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ดังนี้
- Netflix เป็นผู้นำด้านสตรีมมิ่งรายการทีวีและภาพยนตร์ ได้ตัดสินใจ Outsource งานด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันให้กับบริษัท Pivotal ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์บนคลาวด์ การ Outsource ช่วยให้ Netflix สามารถปล่อยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว และปรับปรุงแก้ไขได้ตลอดเวลาตามความต้องการของผู้ใช้งาน
- Coca-Cola ได้เอาท์ซอร์สการผลิตและการจัดการโลจิสติกส์ไปยังบริษัทบรรจุขวดในภูมิภาคต่างๆ เพื่อให้สามารถมุ่งเน้นการพัฒนากลยุทธ์การตลาดและการสร้างแบรนด์ การเอาท์ซอร์สนี้ช่วยให้ Coca-Cola สามารถลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายสินค้า
- Apple ได้เอาท์ซอร์สการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปยัง Foxconn ในประเทศจีน เพื่อให้สามารถมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรม การออกแบบ และการตลาด การเอาท์ซอร์สนี้ช่วยให้ Apple สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงในปริมาณมาก และลดต้นทุนการผลิต ทำให้บริษัทสามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- Procter & Gamble (P&G) – Outsource การบริหารจัดการไอทีและการผลิตสินค้า P&G ได้เอาท์ซอร์สงานบริหารจัดการระบบไอทีไปยัง IBM เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมและการตลาดของผลิตภัณฑ์ รวมถึงเอาท์ซอร์สการผลิตสินค้าไปยังต่างประเทศ เช่น เม็กซิโกและเวียดนาม เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ตอบสนองความต้องการของตลาดทั่วโลก
- การ Outsource ได้รับความนิยมในหลายอุตสาหกรรมภายในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการจัดการแรงงาน การบันทึกข้อมูล และงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หนึ่งในผู้ให้บริการ Outsource ชั้นนำของไทยคือบริษัท สยามราชธานี จำกัด (SO) ซึ่งให้บริการงานจ้างแรงงานภายนอก บริการด้านไอทีและดิจิทัล รวมไปถึงการบริหารจัดการสำนักงานแบบครบวงจร
เหตุผลหลักของการใช้การเอาท์ซอร์สในยุคดิจิทัลคือการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการลดต้นทุน ด้วยการใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจากภายนอก ทำให้บริษัทสามารถมุ่งเน้นไปที่ความสามารถหลักและการขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังช่วยให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล
ในทำนองเดียวกัน องค์กรธุรกิจจำนวนมากต่างเลือกที่จะ Outsource กระบวนการทางธุรกิจ (Business Process Outsourcing) เช่น การบริการลูกค้า การบัญชีการเงิน การจัดซื้อจัดหา ไปให้ผู้ให้บริการรายใหญ่ เพื่อให้สามารถโฟกัสไปที่การดำเนินธุรกิจหลักขององค์กรได้อย่างเต็มที่
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในยุคดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันนี้ การ Outsource มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความยืดหยุ่น ลดภาระการลงทุน และช่วยให้องค์กรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและการอยู่รอดในโลกธุรกิจยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้
SO ผู้นำด้านธุรกิจเอาท์ซอร์สแบบครบวงจร หนึ่งเดียวในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย ที่นำ Tech-enabled outsourcing solution เข้ามาพัฒนาธุรกิจของลูกค้าให้มีประสิทธิภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น และทาง SO ยังมีการเพิ่มศัพยภาพที่แข็งแกร่งอย่างไม่หยุดนิ่งด้วยการที่มีพันธมิตรทางธุรกิจหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรทั้งไทยและทั่วโลก เพื่อมอบประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้า ด้วยบริการที่ครอบคุลมและพร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการในการพัฒนาธุรกิจ
เป้าหมายของ SO คือการเป็นพันธมิตรและที่ปรึกษาให้แก่ลูกค้า โดยการมีส่วนร่วมในการกำหนดกลยุทธ์และนโยบายสำหรับการดำเนินธุรกิจ ด้วยบริการ Outsource แบบผสานงานด้านบุคลากร และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เรียกว่า Tech-Enabled Outsourcing Solution เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงาน พร้อมนำเสนอวิธีการในการแก้ปัญหาที่เหมาะสมสำหรับทุกธุรกิจ
การเอาท์ซอร์สช่วยให้องค์กรมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักได้อย่างเต็มที่ มีความยืดหยุ่นในการปรับขนาดธุรกิจตามสถานการณ์ ถ่ายโอนความเสี่ยงต่างๆ ให้ SO จัดการ พร้อมเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่และนำหน้าคู่แข่ง เป็นการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ตามแนวคิด "Unlock Possibilities, SO Here We Are"