การใช้ Outsource ช่วยใน การลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ได้อย่างไร
การลดความเสี่ยงทางธุรกิจ และคาดการณ์ปัญหาล่วงหน้าเป็นกลยุทธ์สำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ หนึ่งในวิธีที่ธุรกิจหลายแห่งเลือกใช้เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความยืดหยุ่นคือ “การใช้บริการ Outsource” หรือ การจ้างงานภายนอก
Outsource คืออะไร
Outsource หมายถึง การมอบหมายงานหรือ Process งานบางส่วน หรือทั้งหมด ให้กับบริษัทหรือผู้ให้บริการภายนอกจัดการแทน วิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถโฟกัสไปที่งานหรือกระบวนการหลักของธุรกิจตัวเอง ขณะที่ปล่อยให้งานที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะหรืองานที่ต้องการจำนวนคนไม่คงที่ ถูกจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญอย่าง SO Outsourcing
ทำไม Outsource ถึงช่วยใน การลดความเสี่ยงทางธุรกิจได้
- ลดความเสี่ยงด้าน Work Force : การจ้างงานภายนอกช่วยลดภาระในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เช่น การสรรหา ฝึกอบรม พัฒนา และรักษาพนักงาน รวมถึงการเพิ่ม ลดจำนวนคนในงานที่ไม่ใช่งานหลักของธุรกิจ
- ลดความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี: การอัปเดตและดูแลระบบเทคโนโลยีต้องการทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญสูง การใช้ Outsource ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงเทคโนโลยีล่าสุดและผู้เชี่ยวชาญโดยไม่ต้องลงทุนในอุปกรณ์และซอฟต์แวร์
- ลดความเสี่ยงด้านการดำเนินงาน: การมอบหมายงานที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับหลักการธุรกิจหลักให้กับผู้ให้บริการภายนอก ช่วยลดความซับซ้อนในการดำเนินงานและลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เพราะ Outsource จะมา Take Risk ในกระบวนการทั้งหมดแทน
- ลดความเสี่ยงด้านการเงิน: Outsource ช่วยให้ธุรกิจควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น โดยจ่ายเฉพาะงานที่ต้องการ ไม่ต้องลงทุนในทรัพยากรระยะยาว และยังสามารถ Predict ค่าใช้จ่ายในอนาคตได้อีกด้วย เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายที่คงที่
เลือก Outsource ที่ช่วยใน การลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ได้จริงต้องดูที่อะไร
การเลือกบริษัทหรือผู้ให้บริการภายนอก (Outsource) เพื่อรับผิดชอบงานบางส่วนหรือโครงการในองค์กรของคุณเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรอบคอบและการวางแผนอย่างมาก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้น เกณฑ์หลักในการเลือกผู้ให้บริการภายนอกควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
- 1.ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์: หาบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในด้านที่คุณต้องการ ดูผลงานที่ผ่านมาและขออ้างอิงเพื่อประเมินคุณภาพของงานและความสามารถในการส่งมอบผลลัพธ์ที่คาดหวัง
- 2.คุณภาพและมาตรฐานการทำงาน: พิจารณามาตรฐานและกระบวนการทำงานของบริษัทเพื่อดูว่าตรงกับความต้องการขององค์กรคุณหรือไม่ รวมถึงการมีการรับรองคุณภาพเช่น ISO ซึ่งสามารถเป็นตัวบ่งชี้ถึงความมุ่งมั่นในการรักษามาตรฐาน
- 3.การสื่อสารและการรายงาน: เลือกผู้ให้บริการที่มีระบบการสื่อสารและการรายงานที่ชัดเจน เพื่อให้คุณสามารถติดตามความคืบหน้าและมีการปรับเปลี่ยนได้อย่างทันท่วงที
- 4.ความยืดหยุ่นและการปรับตัว: ดูว่าผู้ให้บริการมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนตามความต้องการของโครงการหรือไม่ ซึ่งรวมถึงความสามารถในการขยายหรือลดขนาดทีมงานตามความจำเป็น
- 5.ต้นทุนและ ROI: ประเมินต้นทุนของการใช้บริการเทียบกับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ โดยคำนึงถึงทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้แน่ใจว่าการตัดสินใจนั้นคุ้มค่ากับการลงทุน
- 6.ความปลอดภัยและการปกป้องข้อมูล: ตรวจสอบว่าบริษัทมีนโยบายและมาตรการความปลอดภัยข้อมูลที่เข้มงวด เพื่อป้องกันการรั่วไหลหรือการสูญเสียข้อมูลสำคัญ
- 7.ความเข้ากันได้ทางวัฒนธรรม: มีการทำงานร่วมกันได้ดีกว่ากับบริษัทที่มีวัฒนธรรมที่เข้ากันได้กับองค์กรของคุณ การมีค่านิยมและวิธีการทำงานที่คล้ายคลึงกันสามารถช่วยลดความขัดแย้งและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน
- 8.ตัวชี้วัดและการประเมินผล: มีตัวชี้วัด (KPIs) และกระบวนการประเมินผลที่ชัดเจนเพื่อวัดผลลัพธ์และประสิทธิภาพของการทำงาน
ตัวอย่างงาน Outsource ที่ช่วยลดความเสี่ยง
- งาน IT: การดูแลระบบเครือข่าย การพัฒนาซอฟต์แวร์ การรักษาความปลอดภัย
- งานบัญชี: การทำบัญชี การตรวจสอบบัญชี การจัดการภาษี
- งานบริการลูกค้า: การตอบคำถาม การแก้ปัญหา การให้ข้อมูล
- งานคนขับรถ : ทั้งขับรถส่วนกลางและขับรถผู้บริหาร
- พนักงานธุรการ ประชาสัมพันธ์ : ให้ข้อมูลกับลูกค้า ในห้างสรรพสินค้า
โดยสรุปว่า
การใช้ Outsource เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการ ลดความเสี่ยง และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ ด้วยการเลือกผู้ให้บริการที่เหมาะสมและการจัดการความสัมพันธ์อย่างมืออาชีพ ธุรกิจสามารถลดความเสี่ยงในหลายด้าน ทั้งในด้านทรัพยากรมนุษย์ การดำเนินงาน เทคโนโลยี และการเงิน ในขณะเดียวกันก็สามารถรักษาคุณภาพและความลับทางธุรกิจได้ การใช้ Outsource อย่างมีกลยุทธ์จึงเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถนำพาตนเองไปสู่ความสำเร็จในยุคสมัยที่ไม่แน่นอนนี้